เมนู

[1309] เมื่อท่านออกจากเรือนไป สิ่งของของ
ท่านไม่มีใครดูแล จักเสียหาย คำพูดของ
สหายมิได้มีความรังเกียจ ท่านจงอยู่ที่นี้เถิด
อย่าไปเลย.

จบ ปูติมังสชาดกที่ 11

อรรถกถาปูติมังสชาดกที่ 11



พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
ความไม่สำรวม จึงได้ตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า น โข เม รุจฺจติ
ดังนี้.
ความย่อมีว่า สมัยหนึ่ง ภิกษุจำนวนมากไม่คุ้มครองทวารใน
อินทรีย์ทั้งหลาย พระศาสดาตรัสแก่พระอานนทเถระว่า ควรจะกล่าว
สอนภิกษุเหล่านี้. รับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์เป็นพิเศษ เสด็จไปในท่าม-
กลางประทับนั่งเหนือบัลลังก์อันประเสริฐที่จัดไว้ ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย
มาแล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าภิกษุไม่ควรถือนิมิตรใน
รูปเป็นต้น ด้วยสามารถแห่งศุภนิมิตร เพราะถ้าตายลงในขณะนั้น จะ
บังเกิดในอบายมีนรกเป็นต้น ฉะนั้น อย่าถือศุภนิมิตรในรูปเป็นต้น
ขึ้นชื่อว่าภิกษุไม่ควรยึดรูปเป็นต้นเป็นอารมณ์ เพราะผู้ที่ยึดรูปเป็นต้น

เป็นอารมณ์ ย่อมถึงมหาพินาศในปัจจุบันทีเดียว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เพราะฉะนั้น จักขุนทรีย์ที่ถูกแทงด้วยซี่เหล็กแดงประเสริฐ ว่าการ
แลดูศุภนิมิตรในรูปไม่ประเสริฐเลย เวลาที่พวกเธอจะควรแลดูรูปมีอยู่
บางคราว เวลาที่พวกเธอไม่ควรแลดูรูปมีอยู่บางคราว ในเวลาแลดู
ไม่ควรแลดูด้วยสามารถแห่งศุภนิมิตร ควรแลดูด้วยสามารถแห่งอศุภ-
นิมิตรเท่านั้น เมื่อทำได้อย่างนี้ ก็จักไม่เสื่อมจากอารมณ์ของตน ก็อะไร
เล่าเป็นอารมณ์ของพวกเธอ คือ สติปัฏฐาน 4 อริยมรรคมีองค์ 8
โลกุตตรธรรม 9 เมื่อพวกเธอโคจรอยู่ในอารมณ์เช่นนี้ มารก็จะไม่ได้
โอกาสทำร้าย แต่ถ้าพวกเธอตกอยู่ในอำนาจกิเลส แลดูด้วยสามารถแห่ง
ศุภนิมิตร ก็จักเสื่อมจากอารมณ์ของตน เหมือนสุนัขจิ้งจอกชื่อปูติมังสะ
เสื่อมจากที่หาอาหารฉะนั้น แล้วได้ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อ
ไปนี้ :-
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติ อยู่ในนคร
พาราณสี. มีแพะหลายร้อยอยู่ในถ้ำเชิงภูเขา ในแดนป่าหิมพานต์ ณ ที่
ใกล้ ๆ กับที่อยู่ของแพะเหล่านั้น มีสุนัขจิ้งจอกชื่อปูติมังสะกับภรรยาชื่อ
เวณี อยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง วันหนึ่ง สุนัขจิ้งจอกเที่ยวไปกับภรรยา เห็น
แพะเหล่านั้น คิดว่า เราควรจะกินเนื้อแพะเหล่านี้ด้วยอุบายอย่างหนึ่ง
แล้วได้ใช่อุบายฆ่าแพะวันละตัว สุนัขจิ้งจอกทั้งสองกินเนื้อแพะจนมี
กำลังร่างกายอ้วนสมบูรณ์ แพะก็น้อยลงโดยลำดับ ในกลุ่มแพะเหล่า

นั้น มีแพะตัวเมียตัวหนึ่งชื่อเมณฑิกมาตา เป็นแพะฉลาดรู้เท่าทันอุบาย
สุนัขจิ้งจอกไม่อาจฆ่ามันได้ วันหนึ่ง จึงปรึกษากับภรรยาว่า ที่รัก
แพะทั้งหลายหมดสิ้นแล้ว เราควรใช้อุบายกินแพะตัวเมียตัวนี้ และ
ในเรื่องนี้มีอุบายดังนี้ คือตัวเจ้าผู้เดียว จงไปเป็นเพื่อนกับเขา ครั้น
เมื่อนางแพะมีความคุ้นเคยกับเจ้า เราจักนอนทำเป็นตาย เจ้าจงเข้าไป
หานางแพะแล้วพูดว่า แม่แพะเอ๋ย สามีของฉันตายเสียแล้ว และฉัน
ก็ไม่มีที่พึ่ง นอกจากท่านแล้ว ญาติคนอื่นของฉันไม่มี ท่านจงมาเถิด
พวกเราจักพากันร้องไห้คร่ำครวญเผาศพสามีของฉัน ดังนี้แล้ว จงพา
เขามา แล้วฉันจักโดดขึ้นกัดคอฆ่าแพะนั้นเสีย. สุนัขจิ้งจอกตัวเมียรับ
คำว่า ดีแล้ว จึงไปคบมันเป็นเพื่อน เมื่อคุ้นเคยกันแล้ว ก็ได้กล่าวกะมัน
อย่างนั้น. มันจึงกล่าวว่า แน่ะสหายการที่เราจะไปนั้นไม่ควร สามี
ของท่านกินญาติของเราจนหมด เรากลัวไม่อาจไป สุนัขจิ้งจอกตัวเสีย
จึงกล่าวว่า แน่ะสหาย อย่ากลัวเลยผู้ที่ตายแล้วจะทำอะไรได้ แพะตัว
เมียแม้กล่าวตอบอย่างนี้ว่า สามีของท่านมีฤทธิ์เดชมาก ฉันกลัวจริง
ดังนี้ ถูกสุนัขจิ้งจอกตัวเมียวิงวอนอยู่บ่อย ๆ คิดว่า สุนัขจิ้งจอกคงตาย
แน่ จึงรับคำแล้วไปกับสุนัขจิ้งจอกตัวเมีย และเมื่อไปมันคิดว่า ใคร
จะรู้ว่าจักมีเหตุอะไรเกิดขึ้น จึงให้สุนัขจิ้งจอกตัวเมียไปข้างหน้า มัน
ตามไปพลาง คอยกำหนดสุนัขจิ้งจอกอยู่ด้วย เพราะความสงสัยใน
สุนัขจิ้งจอกนั้น.

สุนัขจิ้งจอกตัวผู้ได้ยินเสียง/ีเท้าสัตว์ทั้งสอง คิดว่า แพะตัวเมีย
มาถึงหรือยัง จึงยกศีรษะขึ้นชำเลืองดู. แพะตัวเมียเห็นสุนัขจิ้งจอกทำ
ดังนั้น คิดว่า สุนัขจิ้งจอกนี้เลวมาก ประสงค์จะลวงเรามาฆ่า นอน
ทำเป็นตาย จึงกลับไป สุนัขจิ้งจอกตัวเมียจึงถามว่า เหตุใดท่านจึงหนี
ไปเสีย ? เมื่อจะกล่าวเหตุนั้น ได้กล่าวคาถาที่ 1 ว่า :-
แน่ะสหาย การจ้องดู ของสุนัขจิ้งจอก
ชื่อปูติมังสะไม่เป็นที่ชอบใจเราเลย บุคคลพึง
เว้นสหายเช่นนี้ ให้ห่างไกล.

บรรดาเหล่านั้น บทว่า อาฬิ เป็นอาลปนะ ความว่า ดูก่อน
เพื่อน คือ ดูก่อนสหาย. บทว่า เอตาทิสา สขารสฺมา ความว่า
บุคคลหลีกจากสหายเห็นปานนี้ แล้วพึงเว้นสหายนั้นให้ห่างไกล.
ก็แหละ ครั้นกล่าวดังนี้แล้ว แพะตัวเมียได้กลับไปที่อยู่ของตน.
สุนัขจิ้งจอกตัวเมียเมื่อไม่อาจให้แพะตัวเมียกลับมาได้ก็โกรธแพะตัวเมีย
ไปสำนักของสามีตน นั่งซบเซาอยู่. ลำดับนั้น สุนัขจิ้งจอกตัวผู้ เมื่อ
จะติเตียนสุนัขจิ้งจอกตัวเมีย จึงกล่าวคาถาที่ 2 ว่า :-
สุนัขจิ้งจอกตัวเมียชื่อว่า เวณีนี้เป็นบ้า
ไปได้ พรรณนาถึงแพะตัวเมียผู้เป็นสหายให้

ผัวฟัง ครั้นแพะตัวเมียถอยหลังกลับไปไม่มk
ก็นั่งซบเซาถึงแพะตัวเมียชื่อเมณฑิมาตา ผู้มา
แล้วถอยหลังกลับไปเสีย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เวณิ เป็นชื่อของสุนักจิ้งจอกตัว
เมียตัวนั้น. บทว่า วณฺเณติ ปติโน สขึ ความว่า แรกที่เดียว
สุนัขจิ้งจอกตัวเมียชื่อว่าเวณีนี้ พรรณาถึงแพะตัวเมียผู้เป็นสหายของตน
ในสำนักของสามีว่า แม่แพะผู้มีความรักใคร่คุ้นเคยในเราจักมาสู่สำนัก
ของสามี ขอให้ท่านจงทำเป็นตายบัดนี้ ครั้นมันถอยกลับไป ก็มานั่ง
ซบเซาถึง คือ เศร้าโศกถึงแม่แพะชื่อว่าเมณฑิมาตานั้น ผู้มาแล้วแต่
ไม่ถึงสำนักเรา.
แม่สุนัขจิ้งจอกได้ฟังดังนั้นแล้ว จึงกล่าวคาถาที่ 3 ว่า :-
แน่ะเพื่อน ท่านนั้นแหละเป็นบ้า มี
ปัญญาทราม ขาดปัญญาเครื่องพิจารณา ท่าน
นั้นทำอุบายล่อลวงว่าตาย แต่ชะเง้อดู โดย
กาลอันไม่ควร.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อวิจกฺขโณ คือ เว้นจากปัญญา
เครื่องพิจารณา. บทว่า อกาเลน วิเปกฺขสิ ความว่า เมื่อแม่แพะยัง
ไม่ทันมาถึงสำนักของตนเลย ชะเง้อมองในเวลาที่ไม่ควร.

ในที่นี้มีอภิสัมพุทธคาถาดังนี้ว่า :-
บัณฑิตไม่ควรชะเง้อมองในกาลอันไม่ควร
ควรมองดูแต่ในกาลอันควร ผู้ใดชะเง้อมอง
ในกาลอันไม่ควร ผู้นั้นย่อมซบเซา เหมือน
สุนัขจิ้งจอกชื่อปูติมังสะ ฉะนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อกาเล ได้แก่ ในกาลที่จิตตุปบาท
เกิดขึ้นด้วยสามารถแห่งศุภนิมิตร เพราะปรารภกามคุณ กาลนี้แลชื่อว่า
กาลอันไม่ควรที่ภิกษุจะพึงแลดูรูป. บทว่า กาเล ได้แก่ ในกาลที่
กำหนดถือเอารูปด้วยสามารถแห่งอศุภนิมิตร ด้วยสามารถแห่งอนุสสติ
หรือด้วยสามารถแห่งกสิณ กาลนี้แลชื่อว่ากาลอันควรที่ภิกษุจะพึงแลดู
รูป.
ในกาลทั้งสองนั้น ชนทั้งหลายที่แลดูรูปในกาลที่มีความกำหนัด
ย่อมถึงมหาพินาศ ดังนั้น. คำว่า ในกาลอันไม่ควรบัณฑิตพึงเปรียบ-
เทียบด้วยชาดกทั้งหลายมีหริตจชาดกและโลมสกัสสปชาดกเป็นต้น ชนที่
แลดูรูปด้วยสามารถแห่งอศุภนิมิตรย่อมดำรงอยู่ในพระอรหัตผล ดังนั้น
คำว่า ในกาลอันควร บัณฑิตพึงเปรียบเทียบด้วยเรื่องพระติสสเถระผู้-
เจริญอสุภกรรมฐาน. บทว่า ปูติมํโสว ปชฺฌาติ ความว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย สุนัขจิ้งจอกชื่อปูติมังสะชะเง้อดูแม่แพะในกาลอันไม่ควร

จึงเสื่อมจากเหยื่อของตน ซบเซาอยู่ฉันใด ภิกษุแลดูรูปด้วยสามารถ
แห่งศุภนิมิตรในกาลอันไม่ควร จึงเสื่อมจากอารมณ์มีสติปัฏฐานเป็นต้น
ซบเซาอยู่ คือลำบากอยู่ทั้งในทิฏฐธรรมและสัมปรายภพฉันนั้น.
แม่สุนัขจิ้งจอกชื่อเวณี ได้กล่าวปลอบโยนสุนัขจิ้งจอกชื่อปูติ-
มังสะว่า ข้าแต่สามีท่านอย่าเสียใจเลย ฉันจะใช้อุบายนำนางแพะนั้น
มาอีก เวลานางแพะมา ท่านอย่าประมาท จงจับไว้ให้ได้ แล้วไปสำนัก
นางแพะนั้น กล่าวว่า สหายเอ๋ย การที่ท่านกลับมาเสียนั่นแหละเกิด
ประโยชน์แก่เรา เพราะพอท่านมาแล้วเท่านั้นสามีก็กลับได้สติ บัดนี้
ยังมีชีวิตอยู่ท่านจงมา ไปทำปฏิสันถารกับสามีของเราเถิด ดังนี้ แล้ว
กล่าวคาถาที่ 5 ว่า :-
ดูก่อนสหาย ขอความรักจงมีแก่เรา
ท่านจงให้ความเอิบอิ่มแก่เรา สามีของเรากลับ
ฟื้นขึ้นมาแล้ว ถ้าท่านมีความรักเรา ก็จงมา
ไปกับเราเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปุณฺณปตฺตํ ททาหิ เม ความว่า
ขอท่านจงให้ความยินดีแก่เราผู้มาแล้วเพื่อชนที่รักทั้งหลาย. บทว่า ปติ
สญฺชีวิโต
ความว่า สามของเรากลับฟื้นขึ้นมาแล้ว คือลุกขึ้นมาแล้ว
เป็นผู้ไม่มีโรค. บทว่า เอยฺยาสิ ความว่า ขอท่านจงมาไปกับเราเถิด

แม่แพะคิดว่า แม่สุนัขจิ้งจอกเลวทรามนี้ ประสงค์จะลวงเรา
การกระทำตนเป็นปฏิปักษ์ไม่สมควรเลย เราจักใช้ลวงนางสุนัขจิ้งจอก
บ้าง ดังนี้ แล้วกล่าวคาถาที่ 6 ว่า :-
แน่ะสหาย ขอความรักจงมีแต่ท่าน เรา
จะให้ความเอิบอิ่มแก่ท่าน เราจักมาด้วยบริวาร
เป็นอันมาก ท่านจงจัดแจงโภชนาหารไว้เถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอสฺสํ ความว่า เราจักมา แลเมื่อ
มา จักมาด้วยบริวารเป็นอันมาก สำหรับอารักขาตน.
ลำดับนั้น แม่สุนัขจิ้งจอกเมื่อจะถามถึงบริวารกะแม่แพะ ได้
กล่าวคาถาที่ 7 ว่า :-
บริวารของท่านเป็นเช่นไร เราจักจัดแจง
โภชนาหารเพื่อบริวารเหล่าใด ก็บริวารเหล่านั้น
ทั้งหมดมีชื่อว่าอย่างไร เราขอถาม ขอท่านจง
บอกบริวารเหล่านั้นแก่เรา.

เมื่อแม่แพะจะบอก ได้กล่าวคาถาที่ 8 ว่า :-
บริวารของเราเช่นนี้ คือ สุนัขชื่อมาลิ-
ยะ 1 ชื่อจตุรักขะ 1 ชื่อปิงคิยะ 1 ชื่อชัม-

พุกะ 1 ท่านจงจัดแจงโภชนาหารไว้เพื่อบริวาร
เหล่านั้นเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เต เม ความว่า ขอท่านจงบอก
บริวารเหล่านั้นแก่เรา.
คำว่า มาลิโย เป็นต้น เป็นชื่อของสุนัข 4 ตัว.
แม่แพะกล่าวดังนี้แล้วได้กล่าวต่อไปว่า บรรดาสุนัขเหล่านั้น
ตัวหนึ่ง ๆ มีบริวารตัวละห้าร้อย เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจักมีสุนัขสองพันตัว
แวดล้อมมา ดังนี้ แล้วกล่าวว่า ถ้าสุนัขเหล่านั้นไม่ได้โภชนาหาร ก็
จักฆ่าท่านทั้งสองกินเสีย. แม่สุนัขจิ้งจอกได้ฟังดังนั้นก็กลัว คิดว่า ไม่
เป็นการสมควรที่แม่แพะนี้จะไปในสำนักของสามีเรา เราจักใช้อุบายทำ
ให้แม่แพะนี้ไม่ไป ดังนี้ แล้วกล่าวคาถาที่ 9 ว่า :-
เมื่อท่านออกจากเรือนไป สิ่งของของ
ท่านไม่มีใครดูแล จักเสียหาย คำพูดของ
สหายมิได้มีความรังเกียจ ท่านจงอยู่ที่นี้เถิด
อย่าไปเลย.

อธิบายความแห่งคาถานั้นว่า แน่ะสหาย ในเรือนของท่านมีสิ่ง
ของอยู่เป็นอันมาก เมื่อท่านออกจากเรือนไป สิ่งของนั้นก็จักไม่มีใคร

ดูแล จักเสียหาย เรานี้แหละจักบอก คำกล่าวของท่านผู้เป็นสหาย คือ
เป็นเพื่อน มิได้มีความรังเกียจ ท่านจงอยู่ที่นี่แหละ อย่าไปเลย.
ก็แหละ ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว แม่สุนัขจิ้งจอกมีความกลัวมรณ-
ภัยรีบไปสำนักของสามี พาสามีหนีไปที่อื่น ทั้งสองผัวเมียก็ไม่อาจมาที่
นั้นอีก.
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรง
ประชุมชาดกว่า ในครั้งนั้น เราตถาคตเกิดเป็นเทวดาอยู่ที่ต้นไม้ใหญ่
ในที่นั้น ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาปูติมังสชาดกที่ 11

12. ทัททรชาดก

1

ว่าด้วยคนอกตัญญู ไม่รู้จักบุญคุณคนอื่น



[1310] ผู้ใด เจ้าให้ข้าวมันหุงกิน มันเลยกิน
ลูกทั้งสองของเจ้าผู้ไม่มีความผิด เจ้าจงวาง
เขี้ยวลงบนผู้นั้น อย่างปล่อยให้มันมีชีวิตอยู่ต่อ
ไปเลย.
[1311] บุรุษผู้เกลือกกลั้วด้วยความหยาบ ผู้
ลบหลู่ท่อนผ้าที่ตนนุ่งอยู่ เราไม่ขอเห็นมันเลย
เราจะพึงให้เขี้ยวตกไปในบุรุษไรเล่า ?
[1312] อันคนอกตัญญู มักคอยหาโอกาสอยู่
เป็นนิตย์ ถึงจะให้สมบัติทั้งแผ่นดิน ก็ไม่พึง
ทำให้มันชื่นชมยินดีได้เลย.
[1313] ดูก่อนเสือโคร่ง ชื่อว่า สุพาหุ เพราะ
เหตุไรหนอ ท่านจึงรีบด่วนกลับมาพร้อมกับ
มาณพ กิจที่เป็นประโยชน์ของท่านมีอยู่ในที่นี้

1. อรรถกถา เรียก ติตติรชาดก (เรียกนกกระทาพระโพธิสัตว์).